นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
(Privacy Policy)
บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)
2563
บทนำ
บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญต่อการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นอย่างมากและปฏิบัติตามกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามพระราชบัญญัติ คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (“พรบ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล”) บริษัทได้จัดทำนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (“นโยบาย”) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อสิทธิประโยชน์ของลูกค้าทุกท่าน และกำหนดขอบเขตของนโยบายเหล่านั้น เพื่อมิให้ขัดแย้งกับหลักของกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลใด ๆ ถือว่าได้รับความยินยอมจากท่านแล้ว หรือเป็นการประมวลผลภายใต้ฐานที่กฎหมายอนุญาตให้ดำเนินการได้
หากท่านมีคำถามหรือข้อสงสัยประการใดเกี่ยวกับนโยบายนี้รวมถึง ขอบเขตการบังคับใช้ของนโยบายนี้ โปรดติดต่อเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ของบริษัท เพื่อสอบถามเพิ่มเติม
วัตถุประสงค์ของนโยบาย
นโยบายฉบับนี้จัดทำเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า พนักงาน คู่ค้า ที่บริษัทได้ เก็บ รวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว ตามพรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งนโยบายฉบับนี้ได้กล่าวถึงหน้าที่ความรับผิดชอบของบริษัทและพนักงานของบริษัทที่มีต่อลูกค้า และ สิทธิของลูกค้าในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
คำศัพท์
ข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data) | หมายถึง ข้อมูลที่เกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวตนนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ข้อมูลส่วนบุคคล:
|
ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller) | หมายถึง บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) |
ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processor) | หมายถึง บุคคลหรือนิติบุคคลอื่นใดซึ่งไม่รวมถึงพนักงานของบริษัท ซึ่งดำเนินการเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามคำสั่งหรือในนามของบริษัท |
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject) | หมายถึง บุคคลใด ๆ ที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล |
เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Office) | หมายถึง บุคลากรที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล |
บุคคล (Person) | หมายถึง บุคคลธรรมดาซึ่งไม่รวมถึงผู้ถึงแก่กรรม |
พนักงาน | หมายถึง พนักงานของบริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) |
คู่ค้า | หมายถึง ผู้ขายสินค้า, ผู้ให้บริการแก่บริษัท ผู้เสนอขายที่ดิน |
ขอบเขตการบังคับใช้นโยบาย
นโยบายนี้มีผลการบังคับใช้ต่อการเก็บรวบรวม ใช้ และการเปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคล ในทุกกิจกรรมของบริษัทในฐานะผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล และนโยบายนี้มีผลบังคับแก่ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งบริษัทได้ส่งข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวเพื่อการประมวลผล
การปรับปรุงและแก้ไขนโยบาย
บริษัทจะมีการทบทวนและปรับปรุงนโยบายนี้ อย่างน้อยทุก ๆ สิบสอง (12) เดือน และ เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอาจมีการออกแนวทาง หรือ กำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับนโยบายนี้เพิ่มเติมเป็นครั้งคราว โดย เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจะทบทวนนโยบายและแนวทางปฏิบัติ เพื่อให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
โครงสร้างองค์กรเพื่อการกำกับดูแลนโยบาย(Governance Structure)
โครงสร้างการกำกับดูแลนโยบายและแนวทางปฏิบัติของบริษัท เพื่อให้มั่นใจว่าสอดคล้องกับข้อกำหนดของ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
- การแต่งตั้งคณะกรรมการชุดย่อยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล คณะกรรมการ ทำหน้าที่เป็นผู้ให้แนวทางในเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทและช่วยประสานงาน และให้คำปรึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ในทุกฝ่ายขององค์กร ตามที่ได้รับเรื่องร้อง
- การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Officer)
- บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาความเหมาะสมในการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
- บทบาทหน้าที่ และความรับผิดชอบของ เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
- บทบาทของ เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลคือ
- หน้าที่ให้คำปรึกษา
- ให้ความรู้ และ ให้คำแนะนำในเรื่องภาระหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลแก่ ผู้ควบคุม หรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงพนักงานที่เกี่ยวข้อง
- ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการประเมินผลกระทบด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Impact Assessment : DPIA)
- ประสานงานและให้คำแนะนำเกี่ยวกับโครงการ คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในองค์กร เช่น การฝึกอบรม การจัดทำแบบฟอร์ม หรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
- เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสามารถมีส่วนร่วมและให้คำแนะนำในการประเมินประสิทธิภาพของการรักษาความปลอดภัย เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
- หน้าที่ในการตรวจสอบ และติดตามการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ
- ติดตามการปฏิบัติตามขององค์กรและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ในเรื่องของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หน้าที่นี้อาจรวมถึงการตรวจสอบ กิจกรรมการให้ความรู้ ตลอดจนการฝึกอบรมพนักงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการ
- หน้าที่ติดต่อประสานงาน
- เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลทำหน้าที่เป็นผู้ติดต่อประสานงาน เพื่อให้ความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแล ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
- ตอบคำถามและรับเรื่องร้องเรียน หรือคำร้องต่างๆ หากมีคำถาม หรือ คำร้องที่เกี่ยวข้องกับการดูแล และดำเนินการใดๆ ของบริษัทเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล
- ตอบคำถามรับเรื่อง และดำเนินการตามคำร้องขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล หากมีการยื่นขอใช้สิทธิ
- ปกป้องสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การตอบรับหรือพิจารณาการร้องขอใช้สิทธิ หรือการยื่นข้อร้องเรียน
- หน้าที่การรักษาความลับของข้อมูลส่วนบุคคล
- รับรองการเป็นความลับ (Confidentiality) ของข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้การควบคุมของ เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในระยะเวลาการปฏิบัติงาน
- หน้าที่ให้คำปรึกษา
การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล(Processing of Personal Data)
การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ (Purpose Limitation/ Data Minimization)
บริษัทสามารถ เก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้อย่างชัดเจน และจะต้องไม่นำไปประมวลผลต่อในลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์เหล่านั้น ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ดังกล่าว ต้องมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ที่ข้อมูลส่วนบุคคล ถูก เก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผย โดยบริษัทได้มีการแจ้งต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ในประกาศความเป็นส่วนตัว (Privacy Notice) ผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัท ซึ่งได้ระบุถึงวัตถุประสงค์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ การเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท โดยต้องมีการขอความยินยอมของเจ้าของข้อมูลเพิ่มเติมหากมีวัตถุประสงค์อื่นใดเพิ่มเติมจากที่ระบุในประกาศความเป็นส่วนตัว
บริษัทจะทำการเก็บรวบรวม เฉพาะข้อมูลส่วนบุคคล เท่าที่จำเป็น สำหรับวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ และเพื่อวัตถุประสงค์ในการสื่อสารกับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเท่านั้น ทั้งนี้บริษัทจะไม่ทำการประมวลผลข้อมูลอ่อนไหวทุกประเภท
การแจ้งเตือน (Notification)
บริษัทจะแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบถึงวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ก่อนหรือขณะที่ทำการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ๆ เว้นแต่กรณีที่เป็นไปตามข้อยกเว้นซึ่งระบุไว้ในนโยบายนี้
ทั้งนี้ ในประกาศความเป็นส่วนตัวบริษัทจะต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบถึงรายละเอียด ดังต่อไปนี้:
- การปฏิบัติตามข้อกฎหมายของบริษัทต่อพ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
- วัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
- สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
ประกาศความเป็นส่วนตัวอาจถูกส่งไปยังเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล หรือประกาศบนเว็บไซต์ทางการของบริษัทโดยเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลต้องได้รับแจ้งถึงจุดประสงค์ที่ข้อมูลส่วนบุคคล ถูกเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผย โดยบริษัทไม่จำเป็นต้องขอความยินยอมสำหรับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีการเก็บรวบรวมไว้ ก่อนวันที่ 1 มิถุนายน 2564 หากการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้น เป็นเพียงเพื่อวัตถุประสงค์ที่ได้ทำเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขการขายสินค้าและ/หรือการให้บริการของบริษัทเท่านั้น อย่างไรก็ตามหากบริษัทต้องการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างออกไป จะทำได้เมื่อได้รับความยินยอมอย่างชัดแจ้งจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลก่อน หรือเป็นไปตามฐานกฎหมายที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ กฎหมาย กฎ ระเบียบ ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นโดย เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีหน้าที่ต้องทบทวน ประสิทธิภาพ เนื้อหาของประกาศความเป็นส่วนตัว และ วิธีการแจ้งเตือน อย่างน้อยทุก 12 เดือน
ความยินยอม (Consent)
บริษัทจะไม่ เก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล สำหรับกิจกรรมการประมวลผลบางประเภทหากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลนั้นไม่ให้ความยินยอม เช่นการตลาดทางตรง (direct marketing) เป็นต้น ยกเว้นในกรณีที่บริษัทสามารถทำได้ตามที่พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือกฎหมายอื่น ๆ อนุญาต เมื่อบริษัทได้รับข้อมูลส่วนบุคคลจากบุคคลที่สาม (third party) ข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับมานั้น นำมาใช้ได้หากบุคคลที่สาม ได้รับความยินยอมอย่างชัดแจ้ง (เช่นระบุว่าบริษัทเป็นผู้รับข้อมูล) จากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล หากบุคคลที่สาม ไม่ได้รับคำยินยอมอย่างชัดแจ้งบริษัทจะต้องทำการแจ้ง และขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลภายใน 30 วันหลังจากที่บริษัทได้รับข้อมูลส่วนบุคคลจากบุคคลที่สาม
ความยินยอมที่มีผลตามกฎหมายไม่สามารถได้มาโดยวิธีการ:
- กำหนดให้เป็นเงื่อนไขของเพื่อรับผลิตภัณฑ์หรือบริการ
- การให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ หรือจากการปฏิบัติที่ทำให้เกิดการเข้าใจผิด
รูปแบบการขอความยินยอม
การขอความยินยอมจะอยู่ในรูปแบบ ที่ชัดเจน เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น การทำเป็นช่องเช็ค (Check box) ให้เจ้าข้อมูลส่วนบุคคลกด/เขียนเอง รูปแบบของการขอความยินยอม จะต้องขออย่างชัดเจนไม่คลุมเครือ โดยที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลจะสามารถเลือกได้อย่างชัดเจนว่าจะให้ความยินยอมสำหรับจุดประสงค์ใดบ้าง โดยสามารถขอได้ในช่องทางเช่น อีเมล SMS หรือ เว็บไซต์ เป็นต้น เพื่อการประมวลผลในวัตถุประสงค์ด้านการตลาดแบบตรง (direct and personalized marketing) บริษัทจำเป็นจะต้องได้รับความยินยอมอย่างชัดแจ้งจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในการเก็บรวบรวม ใช้ และ เปิดเผยข้อมูล
การบันทึกความยินยอม
ความยินยอมที่มีการบันทึกไว้จะต้องชัดเจนไม่คลุมเครือ เป็นลายลักษณ์อักษร โดยระบบของบริษัทต้องมีการบันทึก การได้รับความยินยอมของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล และการถอนความยินยอมเมื่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลขอใช้สิทธิ
สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล(Data Subject Rights)
สิทธิในการถอนความยินยอม (Right to withdraw)
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล มีสิทธิขอเพิกถอนความยินยอมที่ได้ให้ไว้ในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของตนเมื่อใดก็ได้ และบริษัทต้องหยุดกิจกรรมการประมวลผลข้อมูลดังกล่าวโดยเร็ว
ทั้งนี้ หากบริษัทไม่ สามารถทำการเก็บรวบรวม ใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลนั้นต่อไปภายใต้ฐานกฎหมายอื่นๆ บริษัทจะต้องทำการลบข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ๆ ออกด้วย
สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ( Right to object the collection, use, or disclosure)
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลของตนเมื่อใดก็ได้ เมื่อเข้าเงื่อนไขดังต่อไปนี้
- เมื่อเป็นกรณีที่ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวมได้โดยไม่ต้องขอความยินยอม เฉพาะในกรณีดังนี้
- เพื่อการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินภารกิจเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือปฏิบัติหน้าที่ในการใช้อำนาจรัฐที่ได้มอบให้แก่บริษัท
- เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัท หรือของบุคคลอื่น เว้นแต่ประโยชน์ดังกล่าวมีความสำคัญน้อยกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
- กรณีที่บริษัททำการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการตลาดแบบตรง (Direct marketing) ในกรณีนี้บริษัทจะไม่สามารถปฏิเสธคำร้องขอในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลได้ และต้องยุติการประมวลผลดังกล่าว เมื่อได้รับการร้องขอจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
- กรณีที่เป็นการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือสถิติ บริษัทสามารถปฏิเสธคำร้องขอได้หาก เป็นการจำเป็นเพื่อการดำเนินภารกิจเพื่อประโยชน์สาธารณะ
ในกรณีที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทำการคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล และบริษัทไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธดังกล่าวข้างต้น ถือว่าบริษัทไม่มีข้อยกเว้นในการเก็บรวบรวม ใช้หรือเปิดเผยข้อมูลนั้นได้อีกต่อไป รวมถึงไม่มีข้อยกเว้นในการใช้สิทธิห้ามมิให้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ดังนั้น บริษัทจะทำการลบหรือทำลายข้อมูลหรือปฏิบัติโดยแยกส่วนออกจากข้อมูลอื่นอย่างชัดเจนในทันทีเมื่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้แจ้งการคัดค้าน
สิทธิในการลบข้อมูลส่วนบุคคล (Right to deletion)
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิในการขอลบข้อมูลส่วนบุคคลของตน บริษัทจะต้องดำเนินการลบข้อมูลส่วนบุคคล หากมีเหตุดังต่อไปนี้
- ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไม่มีความจำเป็นสำหรับวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมหรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลอีกต่อไป
- เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ทำการถอนความยินยอมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลและบริษัท ไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะทำการประมวลผลได้
- เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลคัดค้านการประมวลผลเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการตลาดแบบตรง
- เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล คัดค้านการประมวลผลข้อมูล (นอกเหนือจากที่เกี่ยวข้องกับการคัดค้านการประมวลผลเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการตลาดแบบตรง) และบริษัทไม่มีเหตุแห่งการอ้างการประมวลผลโดยประโยชน์อันชอบธรรม
- เป็นการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลอันมิชอบด้วยกฎหมาย
หากเกิดเหตุข้างต้น บริษัทจะต้องทำการลบหรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้อีก โดยไม่ล่าช้า และหากบริษัทมีการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลแก่สาธารณะ บริษัทจะต้องทำการแจ้งให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นให้ทราบถึงการใช้สิทธิในการลบของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลนั้นทำการลบข้อมูลส่วนบุคคลนั้นด้วย
อย่างไรก็ตามบริษัทสามารถปฏิเสธคำร้องขอได้ หากพิสูจน์ได้ว่าการประมวลผลข้อมูลนั้นมีความจำเป็นดังต่อไปนี้
- บริษัทแสดงให้เห็นถึงเหตุอันชอบด้วยกฎหมายที่สำคัญยิ่งกว่า
- เพื่อใช้ในการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามหรือการใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือการยกขึ้นต่อสู้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย
- เพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
- เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวกับการจัดทำเอกสารประวัติศาสตร์หรือจดหมายเหตุเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือที่เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยหรือสถิติซึ่งได้จัดให้มีมาตรการปกป้องที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
- เป็นการจำเป็นเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินภารกิจเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือปฏิบัติหน้าที่ในการใช้อำนาจรัฐที่ได้มอบให้แก่บริษัท
สิทธิในการห้ามมิให้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Right to Restriction of Processing)
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล มีสิทธิในการห้ามมิให้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของตน เมื่อเข้าเงื่อนไขดังต่อไปนี้
- เมื่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลห้ามมิให้ประมวลข้อมูลของตนและเหตุผลนั้นมีความจำเป็นมากกว่าผลประโยชน์อันชอบธรรมของบริษัท
- การประมวลผลไม่จำเป็นอีกต่อไป แต่การเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลยังคงมีความจำเป็นเพื่อการใช้สิทธิเรียกร้องทางกฎหมาย
- เป็นการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลอันมิชอบด้วยกฎหมาย แต่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลนั้นต้องการห้ามมิให้มีการประมวลผลโดยแทนการลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของตน
สิทธิในการให้โอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล (Right to portability)
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล มีสิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องจากบริษัทรวมทั้งมีสิทธิขอให้บริษัททำการส่งหรือโอนข้อมูลไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นได้ หรือ ขอรับข้อมูลที่บริษัทส่งหรือโอนไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นโดยตรง
สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล (Right to access)
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิที่จะได้รับการยืนยันจากผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ว่าข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลนั้น กำลังถูกประมวลผลหรือไม่อย่างไร โดยเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิยื่นคำร้องเพื่อขอเข้าถึงข้อมูลและขอรับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตน ที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลครอบครองไว้อันได้แก่
- คำรับรองที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลทำการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้น
- สำเนาของข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลนั้น
- วัตถุประสงค์ในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งบุคคลมีสิทธิที่จะทราบถึงฐานทางกฎหมายในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของตน
- ประเภทของข้อมูลส่วนบุคคล
- ประเภทของบุคคลหรือหน่วยงานที่ข้อมูลส่วนบุคคลอาจถูกทำการเปิดเผย โดยเฉพาะผู้รับข้อมูลในต่างประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิที่จะได้รับแจ้งถึงมาตรการในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ว่ามีความเพียงพอและเหมาะสมหรือไม่
- ระยะเวลาที่ในจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคล หรือ เกณฑ์ในการกำหนดระยะเวลาในการจัดเก็บข้อมูล
- การมีอยู่ของสิทธิโดยชอบธรรมของเจ้าของข้อมูล อันได้แก่ สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของตนให้ถูกต้อง สิทธิในการขอให้ลบข้อมูล สิทธิในการห้ามหรือคัดค้านการประมวลผลข้อมูล
- สิทธิในการยื่นเรื่องร้องเรียนต่อหน่วยงานกำกับดูแล
- แหล่งที่มาของข้อมูลส่วนบุคคล (กรณีได้รับมาจากแหล่งอื่น)
- รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจอัตโนมัติและโปรไฟล์ลิ่ง (profiling) รวมถึง ตรรกะเหตุผลที่ใช้ และผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการประมวลผลด้วยวิธีการดังกล่าว
สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้ถูกต้อง (Right to correction)
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิร้องขอให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของตนให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน อันได้แก่
- กรณีที่ข้อมูลไม่สมบูรณ์ คือการที่ข้อมูลที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลมีอยู่นั้นถูกต้องแต่ได้รับข้อมูลมาไม่ครบถ้วน ไม่เพียงพอต่อการนำไปประมวลผลตามวัตถุประสงค์
- กรณีที่ข้อมูลไม่ถูกต้อง
ทั้งสองกรณี บริษัทจะต้องดำเนินการแก้ไขทันที รวมถึงจัดให้มีรายละเอียดประกอบการแก้ไขข้อมูล (supplementary statement) เพื่อเป็นหลักฐานเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่สมบูรณ์หรือไม่ถูกต้องดังกล่าว ตามที่เจ้าของข้อมูลร้องขอ
ทั้งนี้ ในระหว่างการดำเนินการแก้ไขนั้นผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลควรระงับการประมวลผลชั่วคราว เพื่อตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องก่อนการประมวลผลอีกครั้ง เพื่อป้องกันผลกระทบจากการประมวลผลข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
นอกจากนี้ ผู้ควบคุมข้อมูลต้องแจ้งผู้ที่ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวถูกเปิดเผยให้ทราบ ถึงการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว
ฐานกฎหมาย (Lawful Basis)
บริษัทสามารถเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้ต่อเมื่อการประมวลผลนั้นมีฐานกฎหมายรองรับ โดยข้อมูลส่วนบุคคลจะถูกเปิดเผยให้แก่บุคคล หรือองค์กรใดๆ ภายนอกบริษัทได้ ภายใต้ฐานที่กฎหมายอนุญาต ดังต่อไปนี้:
- ฐานสัญญา
- ฐานการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
- ฐานประโยชน์อันชอบธรรม
การประมวลผลบนฐานประโยชน์อันชอบธรรม (Legitimate Interest) กล่าวคือ การประมวลผลในกรณีที่บริษัท มีเหตุผลหรือวัตถุประสงค์ทางธุรกิจหรือการค้าที่มีความจำเป็นต้อง เก็บรวบรวม ใช้ หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ดังต่อไปนี้:- การประมวลผลข้อมูล เพื่อการบริหารจัดการภายใน รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลในกลุ่มธุรกิจเดียวกันเพื่อยกระดับมาตรฐานในการทำงานของบริษัท ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวจะเป็นไปตามนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
- เพื่อความปลอดภัย และป้องกันการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งอาจรวมถึงการถ่ายภาพและการเฝ้าระวังผ่านกล้อง CCTV ภายในพื้นที่โครงการ หรืออาคารสำนักงาน
- เพื่อการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า เช่นการจัดการข้อร้องเรียน และการเสนอผลประโยชน์โดยไม่มีวัตถุประสงค์ทางการตลาด
กล่าวโดยสรุป บริษัทจะไม่ทำการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล เว้นแต่จะมีฐานทางกฎหมายอื่น ๆ ที่รองรับและอนุญาต
ตารางแสดงตัวอย่างของกิจกรรมการประมวลผล และฐานกฎหมายที่ใช้
วัตถุประสงค์ของกิจกรรมการประมวลผล (Purpose) | ฐานกฎหมาย (Legal Basis) |
การจัดหาผลิตภัณฑ์และการให้บริการ (Provision of Products and Services) | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
การให้บริการลูกค้า (Customer Support) | |
|
|
|
|
|
|
กิจกรรมทางการตลาด (Marketing Activities) | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
การโอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคลไปยังบุคคลที่คสามเพื่อการทำการตลาดขององค์กรนั้น ๆ (Sharing Data Subjects’ Personal Data to Third Parties for Their Marketing) | |
|
|
การพัฒนาทางธุรกิจ (Business Improvement) | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
การปฏิบัติตามข้อกฎหมาย (Fulfillment of Our Legal Obligations) | |
|
|
|
|
ความปลอดภัยและการบริหารความเสี่ยง (Security and Risk Management) | |
|
|
ความถูกต้อง (Accuracy)
บริษัทจะต้องมีมาตรการที่พอเพียง เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูก เก็บรวบรวม ใช้ หรือ เปิดเผยในนามของบริษัทนั้นถูกต้องและครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากข้อมูลส่วนบุคคลมีแนวโน้มที่จะถูกใช้ในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลโดยบริษัทหรือโดยองค์กรอื่น โดยก่อนดำเนินการดังกล่าว บริษัทต้องพิจารณาดังต่อไปนี้:
- ลักษณะของข้อมูลส่วนบุคคล และความสำคัญของข้อมูลต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
- วัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
- ความน่าเชื่อถือของข้อมูลส่วนบุคคล
- ความเป็นปัจจุบันของข้อมูลส่วนบุคคล
- ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากข้อมูลส่วนบุคคลไม่ถูกต้อง หรือไม่สมบูรณ์
เพื่อการทบทวนความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทต้องมีมาตรการ หรือ แนวทางการปฏิบัติดังต่อไปนี้:
- บันทึกข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวมอย่างถูกต้อง (ไม่ว่าจะเก็บรวบรวมโดยตรงหรือโดยอ้อม)
- รวบรวมข้อมูลทุกส่วนที่เกี่ยวข้องของข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อความสมบูรณ์
- พิจารณา และตรวจสอบว่าข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยมีความถูกต้องและครบถ้วน
- พิจารณาความจำเป็นในการทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่เก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผย มีความเป็นปัจจุบัน
การเก็บรักษา และ ระยะเวลาการจัดเก็บ (Storage and Retention)
บริษัทจะยุติการเก็บรักษาเอกสารที่มีข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ว่าจะในรูปแบบกระดาษ หรืออิเล็กทรอนิกส์ ทันทีที่หากพบว่า:
- ความสัมพันธ์ทางธุรกิจของควอลิตี้เฮ้าส์ กับเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลสิ้นสุดลง และวัตถุประสงค์ในการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลนั้นสำเร็จเสร็จสิ้น
- การเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ๆ ไม่มีความจำเป็นสำหรับวัตถุประสงค์ทางกฎหมายหรือทางธุรกิจอีกต่อไป
บริษัท มีการบันทึกประวัติของการเก็บรักษาและการทำลายข้อมูลส่วนบุคคล และมีการกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาที่ชัดเจน ซึ่งระยะเวลาในการเก็บรักษานั้นอยู่ภายใต้กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง หรือเก็บรักษาตามความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ทางกฎหมายหรือธุรกิจ
การหยุดการเก็บรักษาสามารถอยู่ในรูปแบบของ:
- การทำลายเอกสาร
- การทำให้ข้อมูลไม่สามารถระบุถึงตัวบุคคลได้ (Anonymization)
พนักงานทุกคนของบริษัทมีหน้าที่ และ ความรับผิดชอบ ในการตรวจสอบความเรียบร้อยและใช้วิธีการที่เหมาะสม เพื่อกำจัดเอกสารที่มีข้อมูลส่วนบุคคล โดยพนักงานสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ในนโยบายและคู่มือการเก็บรักษา และทำลายข้อมูลส่วนบุคคล (Retention and Deletion policy)
การเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลเป็นความลับ (Confidentiality and Integrity)
มาตรการในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล(Security Measures for Personal Data)
บริษัทมีมาตรการการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม ซึ่งรวมถึงมาตรการในด้านการบริหารจัดการ (Organizational Measure) และมาตรการเชิงเทคนิค (Technical Measure) เพื่อป้องกันการปลอมแปลงข้อความ รวมทั้ง การเก็บรวบรวม การใช้งาน การเข้าถึง หรือการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาต บริษัทได้กำหนดวิธีการจัดการกับเหตุการณ์การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล และต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบตามข้อกำหนดทางกฎหมาย
การจัดการเรื่องร้องเรียน (Complaint Management Handling)
การร้องเรียน หรือข้อกล่าวหาในการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล สามารถดำเนินการผ่านอีเมล DPO@qh.co.th โดยข้อร้องเรียนทั้งหมดจะต้องถูกส่งต่อไปยัง เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อทำการตรวจสอบและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการแก้ไข หรือ การตอบสนองที่เหมาะสม ข้อร้องเรียนที่เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลได้รับจากช่องทางใดก็ตาม จะต้องมีการสืบสวนและส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยข้อร้องเรียนทั้งหมดจะต้องได้รับการแก้ไขภายในระยะเวลาที่เหมาะสม เว้นแต่ เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีความจำเป็นต้องขยายระยะเวลาดังกล่าวออกไป
การร้องเรียนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ที่ได้รับแจ้งผ่านอีเมลของ เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องเก็บรักษาบันทึก ของประวัติการร้องเรียน หรือ เหตุการณ์การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมด และรายงานต่อคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
หาก เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเห็นว่ามีการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลอันอาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียง หรือการเงิน เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องดำเนินการแจ้งเหตุดังกล่าวไปยังคณะกรรมการย่อยคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท เพื่อให้คณะกรรมการประเมินและตัดสินใจเกี่ยวกับการดำเนินการรายงานต่อสำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือดำเนินการแจ้งเตือนไปยังเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลต่อไป
การแจ้งถึงเหตุการณ์การรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล(Personal Data Breach Notification)
บริษัท จะต้องประกาศเหตุการณ์การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล โดยไม่ชักช้าและไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังจากที่ได้รับแจ้งถึงเหตุการณ์การละเมิดดังกล่าว เว้นแต่การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลนั้นไม่มีความเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลธรรมดา
ในกรณีที่มีความเป็นไปได้ที่การละเมิดดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงหรือผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลธรรมดา บริษัทจะต้องแจ้งการละเมิดข้อมูลและแนวทางการเยียวยาไปยังเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้วิธีการแจ้งเตือนนั้นจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานและวิธีการที่คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลประกาศ